“ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน
เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาตอย่างนี้เอามาได้ไม่บาป
ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์
อีกทั้งเราควรทราบว่า ของในวัดทั้งหมดแม้แต่อาหารที่เหลือจากบาตรพระหรือเหลือจากการทำบุญ ถ้าจะเอามากินได้ต้องให้มีมติสงฆ์เสียก่อน
แม้แต่เจ้าอาวาสก็ไม่ใช้เจ้าของที่แท้จริง เป็นของส่วนรวมของสงฆ์ แต่ส่วนมากท่านจะทำมติสงฆ์ไว้แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดอาบัติและไม่เป็นกรรมต่อผู้ที่รับทานนั้นไป
ซึ่งคนที่มาทำบุญแล้วอาหารเหลือนั้น ถือว่าโชคดีที่ได้บุญ 2 ต่อ คือ ได้จากการทำบุญกับพระสงฆ์แล้วยังได้จากที่พระสงฆ์ท่านทำทานต่อคนทั่วไป.."
เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่า คนเราอาจเผลอสติสร้างกรรมไว้ เป็นเรื่องของในวิบากกรรมเก่าบางกรรมที่ส่งผลให้กับชีวิตและการทำงานของเราเอง
เรากำลังได้รับผลที่ไม่ดีในงาน เงิน และชีวิตส่วนตัว ล้วนส่งผลมาจากการเหนี่ยวรั้งของกรรมไม่ดีที่เคยทำไว้
ผลกรรมเหล่านี้ มาปิดทางไม่ให้กรรมดีที่เคยทำมาด้วยส่งผล เจ้ากรรมนายเวรเขาจะบังคับหรือชักนำให้เราหลงทางที่จะพบความเจริญ
ดลให้เกิดมีความคิดที่ผิด ทางที่ชอบที่ควรกลับไม่ทำ เกิดทิฐินึกว่าสิ่งที่ทำหรืออาชีพที่ทำนั้นดีอยู่แล้ว แต่ทว่าไม่มีทางสำเร็จลงได้ เพราะไม่ถูกจริต ไม่ถูกต้องตรงตามธรรมที่ควรกับตนเอง
บางคนจริตเป็นพ่อค้า แต่ยังต้องทำอาชีพอื่นที่ไม่ตรงกับจริตก็ไปได้ช้า
บางคนจริตเป็นนักปกครอง เป็นผู้นำได้ แต่กลับต้องไปทำอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ตรงกับความสามารถ
บางคนเป็นทหารมาก่อน เป็นนักรบ แต่กลับไม่ได้ใช้ความรู้ ความถนัดด้านนั้น มีสิ่งปิดกั้นไม่ให้ไปในทางที่ควรจะเป็น
สิ่งเหล่านี้ดูเป็นเรื่องที่อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่จริตวิสัย อดีตชาติ สัญญา ความจำเดิมนั้นมีอยู่ เป็นเรื่องที่หนีกันไม่พ้น
การชำระหนี้สงฆ์เพื่อแก้ไข จึงควรทำอย่างยิ่ง เพราะคนเราย่อมมีอดีตชาตที่ผ่านมาหลายร้อยชาติท แต่ละคนต้องมีการพลั้งพลาดทำผิดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไม่ว่ากับคน สัตว์ สิ่งของ คณะบุคคล และคณะสงฆ์ไม่มากก็น้อย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
อาจเคยรับปากใดๆ ไว้แล้วไม่ได้ลงมือทำ ตามที่สัญญาไว้ เช่น
เคยสัญญาว่าจะทำบุญ
เคยสัญญาจะอุปัฎฐากรับใช้
จะสร้างวัด จะช่วยเหลือ จะทำกิจการใดๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือเพื่อสงฆ์
แต่แล้วมีเหตุจำเป็น หรือเผลอสติลืม ไม่ได้ทำ ก็กลายเป็นการติดหนี้สงฆ์เอาไว้
วิธีการก็คือ ต้องชำระหนี้สงฆ์ฺเสีย โดยอธิษฐานขอชำระหนี้สงฆ์
ถวายปัจจัยเพื่อเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเงินมากมาย ขอเพียงมีเจตนาบริสุทธิ์ ว่าจะให้เพื่อช่วยเหลือให้ท่านได้อยู่ ได้มีที่ปฏิบัติธรรมได้ไม่เป็นการลำบาก มีน้ำ มีไฟแสงสว่างใช้
คณะสงฆ์ท่านก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดจากโยมมากอยู่แล้ว คือมีเพียงเพื่อให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติ และไม่เป็นไปในการสะสมเท่านั้น
เคล็ดก็คือ "อย่าไปคิดเงินที่เราหยอดผ่านตามตู้ที่เราหยอดนั้น เขาจะไปเอาทำอะไร" ถ้าเรามัวแต่ไปเสียดาย สงสัย บุญนั้นจะส่งผลไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคกรรมขวางทางอยู่ ก่อนหยอดก็อธิษฐานเสียก่อนว่า
"ขอถวายชำระหนี้สงฆ์นี้ แก่คณะสงฆ์ และอุทิศโดยตรงถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้สิ่งที่ได้ทำนี้เกิดประโยชน์สุงสุดแก่คณะสงฆ์ด้วยเทอญ"
คนที่ไปยืมของอะไรของวัดมาแล้วยังไม่ได้ไปคืน ให้เอาเงินที่มูลค่าเท่ากับของนั้นหรือมากกว่าไปถวายวัดเสียและขออโหสิกรรม หนี้สงฆ์จะได้หมดสิ้นไป
จะขออโหสิกรรมต่อพระสงฆ์โดยตรงก็ได้ หรือไปอธิษฐานจิตกล่าวคำขอขมาขออโหสิกรรมต่อหน้าพระพุทธรูปก็ได้ หมั่นทำบ่อยๆ เพราะกรรมที่เราทำนั้นอาจไม่ได้มีแค่กรรมเดียว
อนึ่ง การชำระหนี้สงฆ์ด้วยการถวายเป็นปัจจัยคือเงินนั้น ไม่ได้ผิดบาปหรือผิดวินัย หากไม่เป็นไปเพื่อจำเพาะเจาะจงให้ภิกษุใดมีไว้เพื่อการสะสมทรัพย์
และผู้ถวายได้ถวายเงินนั้นแก่ "ผู้ที่ไม่ใช่พระภิกษุ แต่มีหน้าที่บริหารเงินนั้นเพื่อประโยชน์แก่คณะสงฆ์"
คนที่หมั่นชำระหนี้สงฆ์ตลอดเวลานั้น ชีวิตจะเริ่มดีขึ้น โรคเวรโรคกรรมจะหายขาด เงินทองที่เคยติดขัดหนี้สินที่เคยมีมากมายจะค่อยๆ ลดลงไปจนกลายเป็นคนมีเงินอย่างน่าอัศจรรย์