สมาธิ
มีผลต่อคลื่นสมองและจิตใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องปรากฎการณ์ทางจิต พลังจิต และความสามารถเหนือธรรมชาติ มักจะมีคำถามว่า "ปรากฎการณ์เหล่านี้จะเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์กระนั้นหรือ" ปัจจุบัน... คำตอบคือ "ใช่"
วิทยาศาสตร์ทางจิต (SCIENCE OF CONSCIOUSNESS)
ในรอบ 2 ทศวรรษนี้... นักวิทยาศาสตร์ทางจิตได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ "เกี่ยวกับคลื่นสมองของคนเรา" ที่สามารถวัดออกมาได้ค่าที่แตกต่างกันในสภาวะต่างๆ เช่น ในขณะที่นอนหลับ ตื่น หรือ จิตใจขณะที่สงบ ขณะที่วุ่นวาย หรือ ขณะที่มีสมาธิสูง เป็นต้น
จากผลการทดลองพบว่า
1. คลื่นเบต้า (BETA WAVE)
... มีความถี่ 13-40 รอบ ต่อวินาที
... เป็นคลื่นสมอง ที่เกิดขึ้นใน "สภาวะปกติจนถึงขณะวุ่นวายสับสน"
... ยิ่งความถี่สูงขึ้นเท่าไร จิตใจคนเราก็ยิ่งวุ่นวายสับสนเท่านั้น
... จิตใจที่วุ่นวายสับสนได้ง่าย "ก็เนื่องมาจากมีอารมณ์ด้านลบในจิตมาก" เช่น ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความโลภ ความรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น ความรู้สึกหลงตนเอง ฯลฯ
2. คลื่นอัลฟา (ALPHA WAVE)
... มีความถี่ 8-13 รอบต่อวินาที
... เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นใน "สภาวะจิตใจสงบ เยือกเย็น สมดุล แต่มีความตื่นตัว" พร้อมที่จะทำกิจการใดๆ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
... มีพลังงานมากกว่าคลื่นเบต้า
... คลื่นอัลฟาทำให้คนเรามีอารมณ์ดี ร่าเริง เบิกบาน มีควาามคิดสร้างสรรค์สูง มีภูมิคุ้มกันในร่างกายสูง มีพลังความคิดด้านบวกสูง มีสมาธิสูง ฯลฯ
... สภาวะอัลฟาบางครั้งเราเคยเข้าสู่สภาวะนี้ "ซึ่งเป็นสภาวะที่เราทำภารกิจต่างๆได้ยอดเยี่ยมยิ่ง" เช่น เล่นกีฬาได้ดีเป็นพิเศษจนน่าประหลาดใจ นักกีฬาระดับโลกเรียกสภาวะนี้ว่า "IN THE ZONE"
3. คลื่นคอสมิค (COSMIC WAVE)
... มีความถี่ 4 รอบต่อวินาทีจนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง
... เป็นคลื่นแห่งความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่
... ความถี่ของคลื่นสมองที่ต่ำที่สุด "แต่มีพลังงานสูงที่สุด" จะอยู่ระหว่าง "4 รอบต่อวินาทีจนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง"
... ผู้ที่เขาถึงสภาวะนี้ "จะเกิดภาวะปีติสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่" (UNIVERSAL LOVE) ให้กับทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
... คลื่นคอสมิคนี้ "จะพบในผู้ที่มีสมาธิจิตสูงมาก" !
สรุปผลที่เกิดขึ้น
ในสภาวะที่เกิดคลื่นสมองต่างๆ
คนทั่วไปในเวลาปกติ... จะส่งคลื่นเบต้าออกมาซึ่งมีความถี่ประมาณ 21 รอบต่อวินาที เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก เช่น โกรธ เกลียด อิจฉา ตื่นเต้น ฯลฯ "คลื่นสมองจะมีความถี่สูงขึ้นทันที" ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้น "มีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง มีความตึงเคลียดสูง มีสมาธิน้อยลง มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำลง มีภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดลง" ฯลฯ
ถ้าเราปล่อยให้คลื่นสมองของเรา... มีความถี่สูงเกินกว่า 21 รอบต่อวินาที "มากๆ เป็นเวลานานๆ" เราจะอยู่ในสภาวะที่แพทย์ปัจจุบัน เรียกว่า "โรคเครียดและวิตกกังวล" ซึ่งเป็น "โรคร้ายอันดับ 1 ของโลก" ในปัจจุบันแพทย์ได้ยอมรับว่า สภาวะเครียดและวิตกกังวล "เป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆทั้งทางร่างกายและจิตใจ" อีกมากมาย
ในสภาวะเคลียดนี้... การสร้าง "ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายจะทำงานไม่เป็นปกติ" ร่างกายของคนเราจะอ่อนแอลง เชื่อโรคต่างๆ สามารถเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เช่น เป็นหวัดบ่อย เป็นโรคภูมิแพ้ ความดันโลหิต อาการบาดเจ็บบ่อยของนักกีฬา รวมทั้งมะเร็ง (มีผลวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า มีผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งชนิดรุนแรงเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก ที่สูญเสียทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ในช่วง 3 - 12 เดือน...ก่อนที่จะตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง)
คลื่นสมองที่มีคลื่นความถี่สูงๆ...นอกจากเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้คนเรามีร่างกายอ่อนแอเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายแล้ว ยิ่งคลื่นสมองของเรา "มีความถี่เกิน 40 รอบต่อวินาที เราแทบจะไม่สามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ได้เลย" เช่น เวลาที่เราโกรธใครมากๆ เราจะไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้ความคิดต่างๆ จะผ่านเข้ามาในสมองของเราเร็วมาก จนเราแทบจำไม่ได้ว่ามีความคิดอะไรที่ผ่านมาบ้าง
คลื่นสมองที่มีคลื่นความถี่สูงๆ...
จะทำให้ "เกิดพลังงานส่วนเกินที่จะต้องระบายออกมาทางร่างกาย" เช่น หน้าแดง มือสั่น เหงื่อออกมาก หรือพฤติกรรมที่รุนแรงต่างๆ ฯลฯ ซึ่งการกระทำของเราในขณะที่คลื่นสมองมีความถี่สูงนี้ มักจะไม่ค่อยเหมาะสมและเรามักจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง
ในทางตรงกันข้าม...
หากเราสามารถควบคุมคลื่นสมองเรา "ให้มีความถี่ต่ำได้ ผลดีต่างๆ ก็จะเกิดตามมามากมาย" เช่น
... มีร่างกายแข็งแรง
... มีภูมิคุ้มกันโรคสูง
... มีจินตภาพ และความคิดสร้างสรรค์สูง
... มีสัมผัสที่ 6 สูง
... มีพลังแห่งความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่สูง ฯลฯ
การทำสมาธิที่สมบูรณ์แบบ "เป็นวิธีการลดคลื่นสมองของตัวเรา ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"
เมื่อพูดถึงเรื่องประสบการณ์ทางจิต พลังจิต และความสามารถเหนือธรรมชาติ มักจะมีคำถามว่า "ปรากฎการณ์เหล่านี้จะเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์กระนั้นหรือ"
ปัจจุบัน... คำตอบคือ "ใช่"
เป็นคำตอบของนักวิทยาศาตร์ระดับโลก "ที่เป็นส่วนมากที่สุด" หรืออาจกล่าวได้ว่า "แทบทั้งหมด" ก็ว่าได้ ทุกวันนี้สามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า "เรื่องพลังจิตพีเอสไอ (PSI)" ปรากฎการณ์ลึกลับทางพลังจิต เป็นเรื่องที่ยอมรับในด้านของความเป็นไปได้ อย่างน้อยนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า "ของชาติตะวันตกในทุกประเทศ" จะหาผู้ที่ต่อต้านหรือคัดค้านเรื่องของพลังจิตอำนาจของจิตอย่างจริงจังได้ยากเต็มที !
น.พ.ประสาน ต่างใจ
ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านเรื่อง "วิทยาศาสตร์จิตวิญญาณ" เกี่ยวกับเรื่องการต่อต้านว่า... "ที่เห็นออกมาต่อต้านนั้นก็มีบ้างแต่ว่าไม่ใช่นักคิดหรือนักวิทยาศาสตร์สายตรงระดับชั้นนำ อาจมีสังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยาบ้าง หรือไม่ก็พวก นักแสดงมายากล เช่น เจมส์ แรนเดิล" (JAMES RANDLE ; HELL STAMP OUT ABSURD BELIEFS , 1992)
... "หลายคนทีเดียวที่ต่อต้านพลังจิตแต่แทบว่าไม่ได้ร่ำเรียน หรือ มีประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ประการใดเลย"
... "ประสบการณ์ทางจิตเหนือธรรมชาตินั้น สำหรับผู้ที่ได้ติดตามและศึกษาการวิจัยอย่างจริงจังแล้ว จะไม่มีผู้ใดแม้คนเดียวที่สงสัยหรือคัดค้านว่าเรื่องของพลังจิต พี เอส ไอ เป็นเรื่องที่ไม่จริง หรือเป็นเรื่องที่เป้นไปไม่ได้" (ROBERT JAHN & BRENDS BUNNE ; THE SPIRITUAL SUBSTANCE OF SCIENCE, 1994)
ประโยชน์ของการทำสมาธิในการกีฬา
ปัจจุบันนี้... ประเทศต่างๆ ในยุโรปในอเมริการวมทั้งญี่ปุ่น ได้จัดเวลาให้นักกีฬา "มีการฝึกปฎิบัติสมาธิควบคู่ไปกับการฝึกซ้อม"
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าคนเรานั้นมี "พลังสะสม หรือพลังสำรอง" (RESERVES POWER) บางทีเรียกว่า "พลังแฝง" (LATENT POWER) อยู่ในตัวของทุกๆ คน
การนำเอาพลังงานดังกล่าวออกมาใช้... ต้องมีวิธีหรือเหตุ ยกตัวอย่างเช่น เวลาคนตกใจเมื่อเกิดไฟไหม้บ้าน เขาสามารถยกกำปั้นหรือหีบห่อที่มีน้ำหนัก เกินกว่ากำลังตามปกติจะเคลื่อนได้ แต่เพราะความตกใจเขาสามารถวิ่งหนีไปได้อย่างสบายๆ ประดุจของนั้นเบา แต่เมื่อหายตกใจแล้วเขากลับยกไม่ขึ้นเลย
สิ่งนี้อธิบายว่า... คนเรานั้นธรรมชาติได้สร้างศักยภาพ (POTETNTIA LENERGY) เอาไว้ในตัวมากมาย แต่ในสภาวะปกติประจำวัน "เราใช้มันเพียง 10-25 % เท่านั้น" หรือตัวอย่างเช่น "หากเราตัดปอด หรือไต ออกไปเสียข้างหนึ่ง ข้างที่เหลือก็สามารถทำงานได้อย่างสบายๆ"
จิตของมนุษย์ หรือ พลังในตัวมนุษย์นี้... นักจิตวิทยาพยามหาวิธีดึงเอาออกมาใช้ โดยพยาม "ฝึกจิตให้มีสมาธิดิ่ง" ที่เรียกว่า "จิตดิ่ง" (PURE CONCIOUSNESS) อันเป็นสภาวะของจิตที่ละเอียดนั้น "เพื่อดึงเอาพลังงานสะสม หรือ พลังงานภายใน"(RESERVED POWER หรือ WILL POWER) ออกมาใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น เพื่อเล่นกีฬา
ปัจจุบันนี้... เขาใช้วิธีการอบรมที่เรียกว่า "INNER MENTAL TRAINING" อย่างเช่นในการประชุม WORLD CONGRESS IN SPORTS PSYCHOLOGY เมื่อวันที่ 24-27 มิถุนายน 2528 ที่กรุง COPENHAGEN ประเทศเดนมาร์ค ก็มีหัวข้อพูดกันเรื่อง "MIND OVER BODY CHAMPIONSHIP IN VARIOUS SPORTS"
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับกันว่า...จิตเป็นนายเหนือกาย !
จากหนังสือ
วิทยาศาสตร์ทางใจ
- - - - - - - - - - - - -
เรียบเรียงโดย พระอาจารย์สุวิเชียร อุตฺตมพนโธ