“ภูเขาควาย” ดินแดนอาถรรพ์ลี้ลับสุดอัศจรรย์ในเขตพื้นที่ สปป.ลาว ที่เล่าขานกันมาเกี่ยวกับความพิศวงของภพภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูมิของพญานาค เมืองลับแล ตลอดจนเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าภูตผีปีศาจ อสุรกายที่พร้อมจะทดสอบกำลังใจของนักปฏิบัติได้ทุกเมื่อ จึงไม่แปลกว่า พระธุดงค์กรรมฐานมักจะไปบำเพ็ญภาวนาที่นี่ เพราะถือเป็นด่านทดสอบจิตใจอันยอดเยี่ยม และยังมีความเชื่อว่า ภูเขาควาย เป็นสถานที่ภาวนาของ “พระบังบด” ภิกษุผู้เร้นลับด้วยกายทิพย์ และมีอายุหลายร้อยปี วิเวกอยู่ในเมืองบังบดหรือเมืองลับแลบนภูเขาควาย โดยลักษณะพิเศษของท่าน คือ สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หายตัวได้ ปรากฏกายได้ทุกเมื่อคนที่พบเห็นพระบังบดได้ใช่ว่าจะไปภูเขาควายแล้วเห็นกันทุกคน เพราะล้วนอยู่ที่บุญกรรมสัมพันธ์กันมาทั้งนั้น ในสมัยก่อนมีเรื่องเล่าว่า มักจะได้ยินเสียงพระสงฆ์สวดมนต์ดังแว่วมาจากภูเขาควาย บ้างก็เห็นพระเดินลงมาจากเขาเป็นร้อยๆรูปเพื่อบิณฑบาตร ชาวบ้านเชื่อว่า นั่นคือ “พระบังบด”
หากจะกล่าวไปแล้วก็ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระบังบดใน “ภูมะโรง แขวงจำปาสัก ประเทศลาว” ซึ่งเรียบเรียงบันทึกไว้ โดย ชุนคำ จิตจักร จาก https://sites.google.com/site/asianmount/xaseiyn-phuthr-rm/phu-marong
ความบางตอนกล่าวไว้ว่า
“ ณ ถิ่นนี้ (ภูมะโรง) คนแต่โบราณรู้กันว่าเป็นที่อยู่ของ “อาจารย์ไต” พระอาจารย์ใหญ่ผู้สำเร็จในอิทธิบาทภาวนาจนอยู่พ้นมิติเหนือโลกเหนือวิสัยแห่งปุถุชนสามัญ สามารถอธิษฐานธรรมจิตให้อายุขัยยืนยาวอยู่ได้เป็นกัปกัลป์ พระอาจารย์ไตท่านนี้ไม่มีผู้ใดทราบอายุขัยของท่านเลย.. และยังเชื่อกันว่าแม้ปัจจุบันนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ในภูมะโรงนี้ ตามปฏิปทาการประพฤติปฏิบัติที่เล่าขานมานั้น คล้ายกับพระปัจเจกพุทธเจ้า คือมุ่งรู้ลำพังสังขารธรรมแห่งตนเท่านั้น"
"ถ้ำที่ท่านอยู่นั้น เป็นที่ๆอยู่ห่างพ้นโลกีย์เหนือวิสัยซึ่งบุคคลธรรมดาหรือพระภิกษุที่ยังด้อยคุณธรรมไม่มีทางจะเข้าไปถึงได้เลย เพราะมีเหวลึกสุดหยั่งขวางกั้นเอาไว้ เหวนี้หากมองลึกลงไปจะไม่เห็นพื้นดินหรือยอดไม้ เห็นแต่ม่านหมอกมัวขาวคลุ้งอยู่อย่างนั้นชั่วนาตาปี ..เมื่อโยนก้อนหินลงไป จะไม่ได้ยินเสียงหล่นกระทบกับอะไรเลย.. ทางข้ามเหวไปยังถ้ำพาดเอาไว้ด้วยไม้ไผ่ลื่นๆเพียงลำเดียว หากเดินข้ามต้องแช่มช้าระมัดระวังอย่างยิ่งยวดถ้าเลี้ยงตัวไม่ดีก็มีอันหลุดร่วงตกลงไปสังเวยก้นเหวลึกที่ไม่เห็นหน"
นอกจากนี้ในฝั่งไทย เช่น ภูกระดึง ก็ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเมืองบังบด ตามข้อมูลที่ คุณกระเจียว สมาชิกเว็บไซต์พลังจิตได้โพต์ไว้ในกระทู้ http://palungjit.org/threads/ภิกษุนิรนามเล่าถึงเมืองลับแลหรือเมืองบังบด.3862/
ซึ่งเป็นบันทึกของพระภิกษุนิรนาม ที่เล่าถึงเรื่องราวในเมืองลับแลหรือเมืองบังบด โดยใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้ถึงพระผู้มีกายทิพย์ซึ่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในเมืองลับแลดังนี้
“อาตมาได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ แบกกลดเดินธุดงค์บ้าง บางรูปก็ บำเพ็ญภาวนา บางรูปก็เดินจงกรม บางทีก็เห็นชีปะขาว แม่ชี ที่นั่น ที่นี่อยู่ทั่วไป ฤาษีชีไพรผมยาวเครารุงรังก็เห็นมีอยู่เช่นกัน ข้อแตกต่าง ที่สังเกตเห็นได้ ถ้าเป็นภิกษุสงฆ์ ที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ จะเห็นได้ที่ท่านมีกลด อยู่กับตัว ไม่แบกเดินไป ก็นั่งกางกลดอยู่ตามโคนไม้ ส่วนที่ท่านเป็น กายทิพย์ คือละสังขารทิ้งกายเนื้อธาตุขันธ์ไปแล้ว จะไม่มีกลด บางรูป นั่งอยู่ในสมาธิ ช้านานไม่มีกำหนด บางรูปก็นอนเอกเขนกสบายอารมณ์ อยู่ตามแท่นหิน หรือหน้าถ้ำริมธารน้ำไหล หรือบนพื้นหญ้าเรียบๆ ท่ามกลางหมู่ไม้ดอกและใบ บางรูปก็เลื่อนลอยไปเหนือพื้นดิน บางรูป พิสดารขึ้นไปนั่งรับลมอยู่บนยอดไม้ ดูไปช่างมากมายเสียจริงๆ จนทำให้ คิดว่า ป่าในเขตจังหวัดเลยและเพชรบุรีนี้ เปรียบเหมือนป่าหิมพานต์ เป็นแผ่นดินธรรมค้ำจุนโลก เป็นแดนบุญของบ้านเมือง เทพยดาอารักขเทวา ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีอยู่ทั่วไป เห็นได้จากเมื่อพระอริยสงฆ์ที่เป็นกายทิพย์ ท่านไปนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่โคนต้นไม้ เขาจะรีบลงมาอยู่ข้างล่างทันที ด้วยมีความนอบน้อมเคารพ”
อย่างไรก็ดียังมีความเชื่อว่า นอกจากภูเขาควาย ภูมะโรง และภูกระดึงแล้ว พระบังบดนั้นยังเร้นกายเพื่อบำเพ็ญภาวนาอยู่ในเมืองลับแลตามภูเขาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งผู้มีบุญวาสนาที่สัมพันธ์กับท่านมาแต่ชาติปางก่อนเท่านั้นจึงจะได้พบเห็น!!
ขอบคุณข้อมูลจาก : ชุนคำ จิตจักร https://sites.google.com/site/asianmount/xaseiyn-phuthr-rm/phu-marong
และ คุณกระเจียว สมาชิกเว็บไซต์พลังจิต โพสต์ในกระทู้ http://palungjit.org/threads/ภิกษุนิรนามเล่าถึงเมืองลับแลหรือเมืองบังบด.3862/